‘เบทาโกร’ (BETAGRO) หนึ่งในแบรนด์อาหารที่คนไทยหลายคนคุ้นเคย กำลังจะเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นไทยวันพรุ่งนี้
การเงิน (2 พ.ย. 2565) หลังจากที่ทำธุรกิจมานานกว่า 50 ปี แต่ก่อนจะเข้าเทรด TODAY Bizview มีโอกาสพูดคุยกับ ‘วสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เบทาโกร (BTG) ถึงความเป็นมา และแผนธุรกิจหลังจากที่เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซีอีโอของเบทาโกรเท้าความว่า เบทาโกรทำธุรกิจมานานกว่า 55 ปีแล้ว ที่ผ่านมาทำธุรกิจด้วยความตั้งใจว่าจะต้องช่วยให้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ด้วยอาหารที่มีคุณภาพที่มากกว่า มีความปลอดภัยสูง และมีราคาที่เป็นธรรม ในยุคแรกก็เน้นการเลี้ยงสัตว์เพื่อนำมาผลิตเป็นเนื้อหมู เนื้อไก่ ไข่ไก่ และอาหารแปรรูปต่างๆ รวมถึงอาหารแปรรูปพร้อมทาน ภายใต้แบรนด์ ‘เอสเพียว’ (S-Pure) และ ‘เบทาโกร’ (Betagro) ปัจจุบันมีการพัฒนาแบรนด์สินค้าต่างๆ มากขึ้น ครอบคลุมตั้งแต่สินค้าต้นน้ำไปจนถึงสินค้าปลายน้ำ รวมถึงมีการขยายธุรกิจไปยังพื้นที่ใหม่ๆ เช่น ธุรกิจอาหารสัตว์ และการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ เป็นต้น ในไตรมาสล่าสุด (ครึ่งแรกของปี 2565) เบทาโกรมียอดขายรวมกว่า 5.2 หมื่นล้านบาท โดยมาจาก 4 ธุรกิจหลัก คือ 1. ธุรกิจอาหารและโปรตีน 2. ธุรกิจเกษตร 3. ธุรกิจต่างประเทศ และ 4. ธุรกิจสัตว์เลี้ยง ถึงจะประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ แต่ถ้าอยากยกระดับคุณภาพอาหารให้ดีขึ้นไปอีก จะต้องอาศัยทั้งเทคโนโลยีและการสร้างความแตกต่าง จึงตัดสินใจระดมทุนเพื่อนำเงินมาเติมเต็มวัตถุประสงค์ของบริษัทฯ อีกหนึ่งเหตุผลที่ตัดสินใจระดมทุน คือ ถึงจะเดินทางมานานกว่า 55 ปีแล้ว แต่การจะทำให้ธุรกิจยั่งยืนจริงๆ จะต้องสร้างองค์กรให้มีความเป็นสถาบันมากขึ้น และต้องเป็นมากกว่าธุรกิจครอบครัว นอกจากนี้ เชื่อว่าการเข้าตลาดหุ้น น่าจะเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ดึงดูดคนที่มีความสามารถให้เข้ามาทำงานด้วย ซึ่งเบทาโกรก็อยากได้คนที่มีความเชี่ยวชาญ และคนใหม่ๆ ที่มีความสามารถเข้ามาร่วมทีม สำหรับแผนการใช้เงินหลังเข้าระดมทุน แบ่งเป็น 1 ใน 3 ก้อนแรก จะถูกใช้ไปกับการลงทุน อีก 1 ใน 3 ก้อนถัดไป จะถูกใช้ชำระคืนหนี้ระยะสั้นและระยะยาว และ 1 ใน 3 ก้อนที่เหลือ จะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เมื่อถามถึงแผนธุรกิจหลังจากเข้าตลาดหุ้น ซีอีโอบอกว่า เบทาโกรยังเน้นการทำธุรกิจอาหาร และมั่นใจว่าบริษัทฯ จะโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะมีความสามารถในการแข่งขันที่สูง
สำหรับแผนระยะสั้น เบทาโกรจะเน้นการนำข้อมูลมาใช้ในการขับเคลื่อนองค์กร (Data Driven) การพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต
และการสร้างรายได้การจัดจำหน่ายให้มีประสิทธิภาพขึ้นจากทุกผลิตภัณฑ์ ส่วนระยะกลาง ข่าวการเงิน เตรียมตัวเปลี่ยนผ่านองค์กรไปสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) โดยตั้งเป้าหมายว่าใน 4-5 ปีต่อจากนี้ เบทาโกรจะสามารถนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาพัฒนาองค์กรและยกระดับการจัดการต่างๆ ขณะที่แผนระยะยาวในช่วง 10 ปีต่อจากนี้ จะเห็นการลงทุนต่อเนื่องทุกปีใน 4 ธุรกิจหลัก เช่น การลงทุนในโรงงานอาหารสัตว์ การทำคอนแทรคฟาร์มมิ่ง การลงทุนในโรงงานอาหารแปรรูป ฯลฯ นอกจากการเติบโตจากธุรกิจเดิม (Orgุanic Growth) เบทาโกรยังขยายการลงทุนออกไปในธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น การลงทุนในธุรกิจอาหารจากพืช (Plant-based Food) ภายใต้แบรนด์ ‘มีทลี่!’ (Meatly!) หรือการร่วมทุนกับพันธมิตร ‘เคอรี่’ (KERRY) ในการทำธุรกิจขนส่งด่วนแบบควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain Distribution) ภายใต้แบรนด์ ‘เคอรี่คูล’ (KERRY COOL) เป็นต้น เมื่อถามถึงแนวโน้มของตลาดอาหารต่อจากนี้ ซีอีโอของเบทาโกรบอกว่า เทรนด์อาหารตอนนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
1. อาหารที่มีความปลอดภัยสูง เช่น อาหารพร้อมขาย (Pre-packaged Food) อาหารพร้อมทาน (Ready to Eat) และอาหารพร้อมปรุง (Ready to Cook)
กลุ่มนี้ได้รับความนิยมมากจากผู้บริโภค ซึ่งเป็นภาพที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีนี้ (2563-2565) จากผลกระทบโควิด-19 ทำให้คนต้องการบริโภคอาหารที่สะอาดและปลอดภัย รวมถึงตอยโจทย์เรื่องสุขภาพด้วย
2. ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน จากภาวะสงครามที่ทำให้ห่วงโซ่อาหารสะดุด
เมื่อภาพใหญ่เป็นแบบนี้ จะเห็นว่าธุรกิจอาหารยังมีโอกาสอีกมาก แต่ในอีกด้านหนึ่งที่คนทำธุรกิจอาหารต้องระวัง คือ ‘ภาวะราคาอาหารเฟ้อ’ (Food Inflation) ทำอย่างไรจึงจะลดภาระต้นทุนผู้บริโภคให้น้อยที่สุด เพื่อรักษาสมดุล
ซึ่งการบริหารผลิตภาพ (Productivity) เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หรือการปรับปรุงกระบวนการผลิตใหม่ๆ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น แต่ต้นทุนต่อหน่วยน้อยลง ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยลดภาระผู้บริโภค นอกจาก 2 เทรนด์ข้างต้นแล้ว ‘โปรตีนทางเลือก’ (Alternative Protein) ก็เป็นอีกเทรนด์อนาคตสำคัญของธุรกิจอาหาร ไม่ว่าจะเป็นอาหารจากพืช การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ (Cell Culture) โปรตีนทางเลือกจากจุลินทรีย์ (Mycoprotein) หรือโปรตีนทางเลือกจากแมลง (Insect Protein) ทั้งหมดนี้เป็นการใช้เทคโนโลยีเพื่อให้มีโปรตีนเพียงพอต่อการบริโภคของคนทั้งโลกในระยะข้างหน้า โดยผลการวิจัยพบว่า แหล่งโปรตีนในปัจจุบัน เพียงพอเลี้ยงคนเพียง 7,000 ล้านคนเท่านั้น